เมนู

อรรถกถานวัตตัพพัง สังโฆ ทักขิณัง ปฏิคคัณหาตีติกถา



ว่าด้วย ไม่พึงกล่าวว่า พระสงฆ์รับของทำบุญ



บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องไม่พึงกล่าวว่า พระสงฆ์รับของทำบุญ. ในเรื่องนั้น
ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธินิกายเวตุลลกะกล่าวคือมหาปุญญวาที
ในขณะนี้ว่า เมื่อว่าโดยปรมัตถ์แล้วพระสงฆ์ก็คือมรรคและผลเท่านั้น
ชื่อว่าพระสงฆ์อื่นนอกจากมรรคผลย่อมไม่มี ก็มรรค ละผลจะรับอะไรได้
ฉะนั้น ไม่ควรกล่าวว่าพระสงฆ์รับทักขิณาทาน คือของทำบุญ ดังนี้
คำถามของสกวาทีว่า ไม่พึงกล่าว เป็นต้น โดยหมายถึงชนเหล่านั้น
คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า
พระสงฆ์เป็น อาหุเนยยบุคคล ผู้ควรของบูชามิใช่หรือ เพื่อท้วงว่า ผิว่า
ตามลัทธิของท่าน พระสงฆ์ไม่พึงรับทักขิณาทานไซร้ พระศาสดาก็จะ
ไม่พึงยกย่องพระสงฆ์ว่า เป็นผู้ควรแก่บูชา เป็นต้น.
ข้อว่า คนบางคนถวายทานแก่พระสงฆ์ สกวาทีกล่าวเพื่อจะท้วง
ว่า บุคคลเหล่าใดย่อมถวายทานแก่พระสงฆ์ ครั้นเมื่อผู้รับทานไม่มี บุคคล
เหล่านั้นจะพึงถวายทานแก่ใครเล่า ดังนี้. พระสูตรว่า ดุจไฟรับการบูชา
ดังนี้ ท่านนำมาจากลัทธิอื่น. ในคำเหล่านั้นคำว่า มหาเมฆ ท่านกล่าว
หมายเอาเมฆคือฝน จริงอยู่แผ่นดินย่อมรองรับน้ำฝนมิใช่รองรับเมฆเลย.
คำว่า มรรครับ ทักขิณาทาน ได้หรือ ปรวาทีย่อมกล่าวตามลัทธิว่า
มรรคและผลเป็นพระสงฆ์ ดังนี้ อันที่จริงมรรคและผลนั้นมิใช่พระสงฆ์
แต่บุคคล 8 ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วชื่อว่า พระสงฆ์ เพราะ
ท่านอาศัยขันธ์ทั้งหลายที่บริสุทธิ์โดยความปรากฏเกิดขึ้นแห่งมรรคและผล
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ใช่ข้อพิสูจน์ว่า มรรคผลเป็นพระสงฆ์ ดังนี้แล.
อรรถกถานวัตตัพพังสังโฆทักขิณังปฏิคคันหาตีติกถา จบ